ภัยกระสุนจากฟ้า ยิงฉลองวันปีใหม่ ผวากันทั่วประเทศ ลุยจับคดีตัวอย่าง
คอลัมน์ แฟ้มคดีนอกจากปัญหาอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตคนไทยจำนวนมากในช่วงเทศกาลใหญ่อย่างปีใหม่ หรือสงกรานต์ อีกหนึ่งปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกคือการยิงปืนฉลอง
ในทุกๆ ปีจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับผู้ได้รับบาดเจ็บหรือบ้านเรือน ทรัพย์สินเสียหายจากกระสุนปริศนาที่ตกมาจากฟ้าทะลุหลังคาบ้าน และส่วนใหญ่หาต้นตอไม่ได้กลายเป็นคดีที่ค้างในสำนวน
กระทั่งในช่วงปี ใหม่ที่ผ่านมา แม้ตำรวจจะออกมาตรการคุมเข้มหรือแม้กระทั่งขู่ดำเนินการอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังเกิดเหตุทำนองนี้ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
ทำให้สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติที่ออกมาปรามก่อนหน้านี้มีคำสั่งไปยังทุกโรงพักให้ความสนใจคดี นี้เป็นพิเศษ โดยให้ติดตามสืบหาและจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีเพื่อให้หลาบจำ
ตร.ขู่เอาจริง-ยิงปืนขึ้นฟ้าก่อนเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ 2556 ในช่วงเดือนธันวาคม 2555 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดยพล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร. ระบุว่าในช่วงเทศกาลต่างๆ ประชาชนมักจะมีการเล่นดอกไม้เพลิงและมีการยิงปืนขึ้นฟ้าโดยไม่มีเหตุอันควร ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งปรากฏเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง
"ตร.มีมาตรการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกตรวจตราร้านค้าหรือ แหล่งผลิตดอกไม้เพลิง หากพบว่าดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ดำเนินการตามกฎหมาย และซักซ้อมความเข้าใจร่วมกันระหว่างพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการรักษา ความสงบเรียบร้อย และนายทะเบียนท้องที่ตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 กรณีที่ตรวจพบผู้กระทำความผิดฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน หรือยิงปืนขึ้นฟ้าในเคหสถานโดยไม่มีเหตุ อันควร และทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย หรือทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่น เสียหาย"
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า หากผู้กระทำผิดดังกล่าวไม่มีใบอนุญาต ให้มีและใช้อาวุธปืน ให้รายงานพฤติการณ์ให้นายทะเบียนท้องที่ตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 ทราบด้วย เพื่อให้นายทะเบียนดำเนินการทางการปกครองพิจารณาเรียกประกัน หรือทัณฑ์บน หรือพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป
ท้ายที่สุดประชา สัมพันธ์ชี้แจงประชาชนให้รับรู้ เข้าใจ และตระหนักถึงอันตราย พร้อมบทลงโทษทางอาญา ทางแพ่ง ทางปกครองที่เกิดจากการเล่นดอกไม้เพลิงโดยประมาท ขาดความระมัดระวัง หรือยิงปืนขึ้นฟ้าโดยไม่มีเหตุอันควร จนอาจทำให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น
กระนั้น ก็ตามแม้จะมีการประชาสัมพันธ์ หรือขอความร่วมมือ แต่ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ยังมีบุคคลยิงปืนขึ้นฟ้าอย่างสนุกสนาน ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือทรัพย์สินเสียหายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
ทำให้ในวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.สั่งการให้ พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร. กำชับทุกท้องที่เกิดเหตุที่มีคดีเกี่ยวกับการยิงปืนขึ้นฟ้าในช่วงปีใหม่ ให้ฝ่ายสืบสวนเดินย้อนทางตามวิถีกระสุน ดำเนินการทางด้านมาตรการสืบสวน เพื่อหาตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี
จับรายแรก-ยิงหลานตัวเอง"การ ยิงปืนขึ้นฟ้า เมื่อกระสุนปืนตกลงมามันสามารถที่จะคำนวณวิถีกระสุนปืนได้โดยการดูจุดที่ กระสุนตก เพื่อหาองศา เมื่อเราได้องศาแล้วจะสามารถมองหาทิศทางว่ากระสุนปืนยิงมาจากทิศทางไหน กระสุนปืนแต่ละชนิดมีระยะยิงไม่เท่ากัน ถ้าเป็นปืนขนาด 9 ม.ม. จะมีระยะยิงอยู่ประมาณ 1,200 เมตร ขนาด 11 ม.ม.ก็มีระยะยิงพอๆ กัน นอกนั้นก็จะลดหลั่นกันลงมา" พล.ต.ท.จรัมพรกล่าว และมีคำสั่งไปทุกโรงพักที่เกิดคดีลักษณะนี้ให้เร่งติดตามผู้ก่อเหตุมาดำเนิน คดี
ล่วงเข้าวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา ตำรวจพระนครศรีอยุธยาติดตามจับกุมผู้ต้องหารายแรกได้สำเร็จ เมื่อใช้อาวุธปืนยิงฉลองปีใหม่ ปรากฏว่ากระสุนตกใส่หลังคาบ้านเลขที่ 5/1 หมู่ 3 ต.หันสัง อ.บางปะหัน จ.พระนคร ศรีอยุธยา ถูก น.ส.ลลิตา โตมี อายุ 24 ปี ที่นอนอยู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อกลางดึก วันที่ 1 ต่อเนื่องถึง 2 มกราคมที่ผ่านมา
ตำรวจแกะรอยจากวิถีกระสุนและตรวจสอบรอบๆ ที่เกิดเหตุพบว่า ต้นทางมาจากบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 200 เมตร ซึ่งจัดงานเลี้ยงฉลองปีใหม่และยิงปืนรวม 7 นัดขึ้นฟ้าในช่วงเวลาเกิดเหตุ
เจ้าหน้าที่ตามไปสอบปากคำเจ้าของบ้านจนในที่สุดผู้ต้องหาเข้ามอบตัว คือ นายสุเมธ ยืนยง อายุ 38 ปี พร้อมอาวุธปืนพกออโต เมติก ขนาด 9 ม.ม. หมายเลขทะเบียน กท.772838 ของบิดา
ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ น.ส.ลลิตาที่ได้รับบาดเจ็บเป็นหลานสาวแท้ๆ ของนายสุเมธนั่นเอง
นายสุเมธสารภาพว่า จัดเลี้ยงฉลองปีใหม่ดื่มสุราจนเกิดความคึกคะนอง จึงหยิบปืนของพ่อออกมายิงขึ้นฟ้าจำนวน 7 นัด กระทั่งทราบข่าวว่าหลานสาวถูกกระสุนตกใส่ได้รับบาดเจ็บ ก็ตกใจมาก กระทั่งตำรวจตามมาถึงบ้านจึงยอมสารภาพ เพราะรู้สึกผิดและเสียใจมากที่คนเจ็บเป็นหลานสาวตัวเอง
ตำรวจแจ้งข้อ หามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และยิงปืนในเมืองหรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร ส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางประหัน ดำเนินคดี
เหยื่อกระสุนป่วนทั่วปท.นอกจากคดีที่เพิ่งจับได้แล้ว ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศเกิดเหตุทำนองเดียวกัน อาทิ จ.นครปฐม นางกิมไล้ แซ่จิว หรือจิระศิริโชติ อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 111/5 ถนนข้างวัง ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม แม่ค้าก๋วยจั๊บโบราณ มารดาของ ?จั๊บ?สุระชัย จิระศิริโชติ อดีตนักบอลทีมชาติ ถูกกระสุนปืนยิงใส่ขณะสวดมนต์ข้ามปีที่วัดพระปฐมเจดีย์ เมื่อกลางดึกวันที่ 31 ธันวาคม 2555
เดชะบุญกระสุนถากบริเวณเอวได้รับ บาดเจ็บเล็กน้อย
นางกิมไล้เล่าว่า มาร่วมพิธีสวดมนต์ ข้ามปีกับลูกๆ หลานๆ โดยพากันนั่งฟังพิธีสวดมนต์อยู่ที่ลานด้านล่างข้างศาลากองอำนวยการด้านซ้าย พระร่วงฯ มีกระสุนปืนขนาดประมาณ 9 ม.ม.ตกมาไม่ทราบทิศทางพุ่งเข้าใส่ที่สีข้างเอวด้านขวาทะลุเสื้อคลุม และเสื้อตัวในเข้าไปถูกผิวหนังจนเลือดไหลซิบ
"ตกใจมากไม่นึกว่าจะมาโดนลูกปืนทั้งๆ ที่มางานบุญส่งท้ายปีเก่ารับปีใหม่ แต่โชคดีที่กระสุนปืนไม่ได้ทำอันตรายถึงกับชีวิตหรือสาหัส"
ส่วนที่ จ.อุดรธานี นายประเสริฐ วิเศษลินทอง อายุ 51 ปี ข้าราชการสังกัดสรรพสามิตพื้นที่อุดรธานี ก็โดนกระสุนยิงใส่หลังคาห้องน้ำบ้านพักเลขที่ 140-142 ถ.อดุลยเดช ต.หมากแข้ง เมื่อกลางดึกวันที่ 1 มกราคม กระสุนทะลุหลังคาเป็นรู แต่ไม่มีคนบาดเจ็บ
ไม่เพียงแต่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังตกเป็นเหยื่อกระสุนปริศนา
ร.ต.ต.อนุสรณ์ จันทนนท์ รอง สวป.สทล.1 (ฉะเชิงเทรา) กก.3 กองบังคับการทางหลวง (บก.ทล.) ถูกกระสุนเข้าที่เอวได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยขณะปฏิบัติหน้าที่ในตู้ยามทางหลวง พระประแดง
ช่วงเกิดเหตุได้ยินเสียงกระเบื้องแตกและรู้สึกเจ็บที่บริเวณเอวด้านขวา พบว่าที่บริเวณแผ่นกระเบื้องหลังคานั้นเกิดรูรอยแตกขนาดเท่าลูกกระสุนปืน จำนวน 1 แห่ง และหัวกระสุนปืนขนาด 9 ม.ม.จำนวน 1 นัด จึงได้เก็บรักษาไว้และแจ้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระประแดง
ส่วนที่ จ.เชียงราย จ.ส.อ.กมลชัย สุภาวรรณ อายุ 53 ปี อดีตทหารค่ายเม็งรายมหาราช แจ๊กพอตเจอกระสุน 2 นัดซ้อนทะลุหลังคาบ้านเลขที่ 195/2 ม.13 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย
ในบ้านมีสมาชิก 5 คนกำลังนอนหลับกันอยู่ก่อนสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงหลังคาแตก 2 ครั้งซ้อนๆ โดยพบกระสุนขนาด .38 และ 9 ม.ม. ตกลงมาในห้องครัว
อันตรายกระสุนตกจากฟ้าพ.ต.อ. วีรพัฒน์ ศิวะแพทย์ รอง ผบก.สกบ.ฝ่ายกองสรรพาวุธ กล่าวว่า กระสุนมีมวลอโลหะผสมตะกั่ว เมื่อยิงขึ้นฟ้าไปจนความเร็วของกระสุนที่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แต่ความแรงที่ตกลงมาสามารถเกิดอันตรายได้
"ความแรงที่ตกลงมาขึ้นอยู่ กับระดับความสูงและน้ำหนักของหัวกระสุนแต่ละชนิด เช่น ความเร็วของกระสุนขนาด 9 ม.ม.อยู่ที่ 1,000 ฟุตต่อวินาที บวกแรงดึงดูดของโลก 9.81 เมตรต่อวินาที ถ้าหัวกระสุนหนักมากบวกแรงสะสมจะยิ่งอันตราย"
พ.ต.อ.วีรพัฒน์กล่าว อีกว่า น้ำหนักหัวกระสุนแต่ละชนิดใกล้เคียงกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเร็วและความสูงที่ยิงขึ้นไป เช่น น้ำหนักหัวกระสุนขนาด 11 ม.ม. มี 158 เกรน ซึ่งมีความเร็วต่ำกว่าหัวกระสุนขนาด 9 ม.ม. ซึ่งมีน้ำหนักเพียงแค่ 128 เกรน แต่มีความเร็วสูง การยิงขึ้นฟ้าจะไปได้สูง
ถ้าถามว่าเวลาตกลงมาอย่างไหนจะมีความแรงมากกว่ากันก็ตอบยาก เพราะ 11 ม.ม.ขึ้นต่ำแต่หนักกว่า ซึ่งยังไม่เคยมีการคำนวณความสูงและความแรงในการตกกันอย่างเป็นทางการ
"ในเมืองไทยขนาดกระสุนที่เป็นที่นิยมในการใช้สำหรับบุคคลทั่วไปที่ได้รับการ อนุญาตให้มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนนั้น มักจะเป็นขนาด 9 ม.ม. กับ .38 มากกว่า 11 ม.ม. กับ .357 เนื่องจากขนาดของปืนสองชนิดหลังดังกล่าวไม่ค่อยได้รับการออกใบอนุญาตจาก กรมการปกครอง"
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอันตรายจากกระสุนส่วนใหญ่พบ ว่าวิถีแนวเฉียงจะมีอันตรายมากกว่ายิงขึ้นฟ้าตรงๆ เพราะกระสุนที่พุ่ง ขึ้นฟ้าจนแรงส่งของดินปืนหมดจะตกด้วยแรงดึงดูดของโลก แม้จะมีอันตรายแต่ก็ไม่เท่ากระสุนแนวเฉียง
เพราะกระสุนแนวเฉียงจะยิง ออกไปเป็นวิถีโค้ง เวลาตกกระแทกเป้าหมายยังมีแรงส่งของดินปืนอยู่จึงอันตรายมากกว่า และการยิงปืนขึ้นฟ้าส่วนใหญ่มักจะยิงเป็นแนวเฉียงโดยไม่รู้ตัว
แต่ไม่ว่าจะเป็นวิถีกระสุนแบบไหน หากตกโดนศีรษะมีโอกาสตายได้พอๆ กัน
เป็นเรื่องตำรวจสมควรดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับพวกยิงปืนเล่นตามเทศกาลต่างๆ เพราะแม้ปีใหม่จะผ่านไปแล้ว แต่อีกไม่กี่เดือน ก็เข้าเทศกาลสงกรานต์
จึงต้องปรามกันเสียแต่ตอนนี้ ก่อนที่ความสูญเสียจะเกิดขึ้น!??
ข่าวสดรายวัน
วันที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2556
ที่มา :
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNVEEyTURFMU5nPT0=§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE15MHdNUzB3Tmc9PQ==