• Welcome to เว็บบอร์ด ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5.
 

ข่าว:

ศพฐ.5 ยินดีต้อนรับ

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - chusit

#1426
สีกากีชั้นผู้น้อยเฮ!เปิดสอบเลื่อนติดดาว7พันอัตรา



สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดสอบตำรวจชั้นประทวน เลื่อนบรรจุเป็นสัญญาบัตร 7,000 อัตรา เพิ่มขวัญกำลังใจชั้นผู้น้อย วันนี้(23 ม.ค.) ตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมอบหมายให้ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายส่งเสริมขวัญกำลังใจ ตำรวจชั้นผู้น้อยทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ถึง จำนวน 1.7 แสนนาย ซึ่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ได้ส่งเสริม เร่งรัด ตอบสนอง นโยบายรัฐและให้ความสำคัญกับ การบริหารทรัพยากรบุคคล เพิ่มคุณภาพชีวิต  เพิ่มโอกาสความก้าวหน้า ให้กับตำรวจชั้นผู้น้อยทั่วประเทศ อยู่โดยตลอดเวลามานั้น


ล่าสุด พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก ผบช.ศ. ได้เร่งประกาศให้บรรดาข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ ได้ทราบทั่วกันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อนุมัติ ให้ทำการเปิดสอบคัดเลือก ข้าราชการตำรวจชั้นประทวน เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมแต่งตั้งเลื่อนชั้นเป็นสัญญาบัตร นับเป็นโอกาสอันดียิ่งของตำรวจชั้นผู้น้อย ที่จะมีโอกาสก้าวหน้า ใช้ความรู้ความสามารถ ความมานะพยายาม เขยิบฐานะตัวเองเพื่อเลื่อนเป็นชั้นสัญญาบัตร ติดดาว “เป็นร้อยตำรวจตรี” ดำรงตำแหน่ง รองสารวัตร ของ หน่วยงานต่างๆในสังกัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในสายงานป้องกัน ปราบปราม สายอำนวยการและสนับสนุน และสายสอบสวน จำนวนรวม 7,000 อัตรา


ณ บัดนี้ กระบวนการรับสมัครคัดเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยจะรับสมัครทางอินเตอร์เนต เว็บไซต์ www.policeadmission.com ตลอด 24 ชั่วโมง แห่งเดียวเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. ถึง 3 ก.พ. โดยได้กำหนดวันสอบข้อเขียน ( 1 วัน ) ไว้แล้ว เป็นวันที่ 11 มี.ค. การสมัครสอบแบ่งเป็นกลุ่มข้าราชการตำรวจ 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มข้าราชการตำรวจผู้มีวุฒิ ปริญญาตรี และกลุ่ม ข้าราชการตำรวจ ยศ ดาบตำรวจ หรือ     จ่าสิบตำรวจ ทั้ง เพศ ชายและหญิง โดยจัดให้มีการแยกหน่วยสอบ จำนวน 18 หน่วยสอบ คือ กองบัญชาการศึกษา กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1-9 ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สำนักงานงบประมาณและการเงิน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ  และกองบินตำรวจ ซึ่งจุดสำคัญคือ ผู้สมัครต้องสมัครทางอินเตอร์เนตดังกล่าว ได้เพียงแห่งเดียวและครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนสมัครสอบจึงต้องศึกษารายละเอียดจากประกาศรับสมัครของกองบัญชาการศึกษา หรือ หน่วยสอบ ทั้ง 18 หน่วยสอบ ให้เข้าใจชัดเจนอย่างถ่องแท้เสียก่อน



พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก ผบช.ศ. กล่าวว่า ข้าราชการตำรวจทั่วประเทศและผู้สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับคำแนะนำ กระบวนการหรือวิธีการปฏิบัติทุกขั้นตอนตั้งแต่การรับสมัคร การเตรียมตัวสอบข้อเขียน สอบภาคความเหมาะสม การประกาศกำหนดการต่างๆ ทั้งวันเวลา สถานที่ โดยศึกษาได้จาก เว็บไซต์ www.rcm.edupol.org ซึ่งการสอบคัดเลือกในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการสอบเลื่อนตำแหน่งเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ครั้งสำคัญยิ่งในรอบหลายปี ขอให้ตำรวจทุกคนใช้ความพยายาม เตรียมตัวสำหรับการสอบให้ดีที่สุด เพื่อใช้ความรู้ความสามารถ ให้เต็มประสิทธิภาพ เพราะเกณฑ์การตัดสิน อยู่บนมาตรฐานของหลักความรู้ความสามารถ หลักเสมอภาค หลักความโปร่งใส และหลักความยุติธรรม ตามปรัชญาและความเป็นจริง ของการบริหารงานจัดการสมัยใหม่ ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่แท้จริง




เดลินิวส์ออนไลน์
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2555 เวลา 10:24 น.

ที่มา : http://www.dailynews.co.th/crime/8851
#1427
หนุ่มดวงกุดนั่งซักผ้ากระสุนตกใส่ร่างดับ



หนุ่มเคราะห์ร้าย นั่งซักผ้าโดนกระสุนปริศนาฝังใน ดับสยองคาประตูหลังบ้าน คาดฝีมือวัยรุ่นชอบยิงปืนขึ้นฟ้าในงานเลี้ยง แล้วเกิดร่วงจากฟ้าตกใส่ร่างจนเสียชีวิต


เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 21 ม.ค. พ.ต.ท.เฉลิม ทองสลับล้วน พงส.(สบ2) สภ.รัตภูมิ จ.สงขลา รับแจ้งเหตุคนถูกยิงตาย ที่บ้านเลขที่ 134/1 นิคมสร้างตนเองรัตภูมิ หมู่ 7 ต.ท่าชะมวง อ.รัตภูมิ จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.พิทักษ์  พุทธวิโร ผกก. พ.ต.ท.เล็ก มียัง รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.อุสมาน ยีตาหวี สว.สส. และหน่วยกู้ภัยรัตภูมิ เมื่อไปถึงพบศพ นายชัยณรงค์ จันทอุไร อายุ 36 ปี ชาว อ.บางแก้ว จ.พัทลุง นอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ที่ประตูหลังบ้าน ตรวจสอบพบบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่ไหปลาร้าด้านซ้าย 1 นัด กระสุนฝังใน จึงส่งศพไปชันสูตร ที่ รพ.สงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่)
สอบสวน นายสารัตน์ สุวรรณรัตน์ อายุ 36 ปี เจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ ให้การว่า ผู้ตายเป็นลูกน้องของตน ปกติเป็นคนนิสัยดี จึงให้ผู้ตายมาพักอาศัยกินนอนอยู่ที่บ้านด้วยกัน

ก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงดึก ผู้ตายได้ออกไปนั่งซักเสื้อผ้าอยู่ที่ชานหลังบ้าน กระทั่งครอบครัวตนเตรียมเข้านอนสังเกตเห็นว่าประตูหลังบ้านยังเปิดอยู่จึง เดินไปปิด ก็พบว่าผู้ตายถูกยิงเสียชีวิตแล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ผู้ตายน่าจะถูกกระสุนของวัยรุ่นที่คึกคะนองยิงปืนขึ้นฟ้า แล้วกระสุนมาตกใส่ทำให้เสียชีวิตดังกล่าว เนื่องจากทราบว่าในหมู่บ้านมีการจัดงานเลี้ยงและมีการยิงปืนขึ้นฟ้าหลายนัด อย่างไรก็ดีทางเจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนสาเหตุที่แท้จริง เพื่อจับกุมตัวมือปืนมาดำเนินคดีต่อไป.



เดลินิวส์ออนไลน์
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2555 เวลา 20:41 น.

ที่มา : http://www.dailynews.co.th/crime/8614
#1428

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้มเละ 'รศ.' สูญเงินร่วม30ล้าน


เลขาฯ ปปง.เต้นเตรียมออกหมายจับ หลัง ขรก.บำนาญเสียท่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ปปง.ลวงเหยื่อมีชื่อในบัญชีเครือข่ายฟอกเงินของแก๊งยาเสพติด ต้องโอนเงินไปตรวจสอบกับแบงก์ชาติทำสูญกว่า 30 ล้าน...

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 ม.ค. ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาราชการแทนเลขาธิการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กล่าวถึงความคืบหน้าในการสอบสวนเพื่อหาที่มาเงิน จำนวน 18.1 ล้าน ที่ยึดคืนมาได้จากแก๊งคนร้ายที่ปล้นบ้าน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมว่า ขณะนี้ทาง ปปง. กำลังดำเนินการสรุปที่มาที่ไปของเงินจำนวนดังกล่าว เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาธุรกรรม ที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 ม.ค.นี้ ส่วนการเรียกบริษัทก่อสร้างที่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนนี้มาสอบ ปากคำ ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

ต่อมา วันเดียวกัน รองศาสตราจารย์ นางน้อย (นามสมมติ) อายุ 68 ปี ข้าราชการบำนาญ เข้าพบ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการ ปปง.ให้ปากคำ หลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ปปง.โทรศัพท์หลอกให้โอนเงินผ่านตู้ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ 75 บัญชี จำนวน 269 ครั้ง มูลค่าความเสียหาย 26,750,185 บาท เหตุเกิดระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.54-4 ม.ค.55 โดยหลอกว่า มีชื่ออยู่ในบัญชีเครือข่ายฟอกเงินของแก๊งยาเสพติด ต้องโอนเงินนำไปตรวจสอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย นางน้อย กล่าวลำดับเหตุการณ์ว่า ก่อนเกิดเหตุ เมื่อวันพุธที่ 21 ธ.ค.2554 เวลาประมาณ 09.00 น. ตนได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทยว่า ตนเป็นหนี้บัตรเครดิตจำนวนหนึ่ง แต่ตนเอะใจว่า ปกติบัตรเครดิตของตนจะตัดรอบบัญชีทุกวันที่ 19 ของเดือน และตนได้จ่ายเงินค่าบัตรเครดิตเงินเข้าบัญชีแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. คนร้ายคนแรกก็ทิ้งท้ายไว้ว่า หากมีปัญหาให้โทรไปสอบถามตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ให้ไว้ ตนจึงโทรศัพท์ไปซักถามพร้อมชี้แจงว่า ปกติธนาคารกสิกรจะส่งสเตจเมนท์การใช้บัตรเครดิตมาที่บ้าน อีกทั้งตนได้จ่ายเงินค่าบัตรเครดิตไปแล้วตั้งวันที่ 19 ธ.ค. ทำไมวันที่ 21 ธ.ค. มีการทวงอีก และยอดเงินก็ต่างกันด้วย คนร้ายจึงโอนสายไปให้อีกคนคุย โดยอ้างว่าเป็นตำรวจยศ ร.ต.อ.บอกว่า มีคนเอาชื่อตนมาเปิดบัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทย สาขาพระราม 3 ตนจึงแย้งว่าบ้านตนอยู่คนละโซน ไม่ได้ไปทำบัตร

ผู้เสียหายเหยื่อ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กล่าวอีกว่า คนร้ายยังบอกตนว่า มีการใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าไปแล้ว 2 รายการ รวม 3 หมื่นกว่าบาท คนร้ายยังถามตนต่อว่า รู้จักคนที่ชื่อสุจิตราหรือไม่ ตนบอกว่าไม่รู้จัก ทำไมเหรอ คนร้ายจึงบอกว่าผู้หญิงที่ชื่อสุจิตรา ถูกจับที่จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2553 เดิมเป็นเจ้าหน้าที่กสิกรไทย แต่ถูกไล่ออกเพราะเอาความลับของธนาคารไปขาย ก่อนผันมาเป็นผู้ค้ายาเสพติดจนถูกจับได้ และบังเอิญมีชื่อตนอยู่ในบัญชีฟอกเงิน เป็นจุดที่ทำให้ตนตกใจกลัวมาก และบอกว่าจะมีคนมาช่วย ให้คุยกับอีกสาย โดยเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของสำนักงาน ปปง.โดยคนในสายแอบอ้างว่าเป็นท่านสีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาฯ ปปง.บอกว่า จะช่วยตน ขอให้ความร่วมมือและเก็บไว้เป็นความลับ ก่อนซักถามว่า มีสมุดบัญชีธนาคารที่ไหนบ้าง ตนบอกว่า จะฝากเงินที่สหกรณ์ คนร้ายพยายามถามว่ามีสมุดเงินฝากกี่เล่ม ยอดเงินจำนวนเท่าไหร่ พยายามให้ตนไปถอนเงินจากสหกรณ์ เพื่อนำไปฝากแบงก์ เพื่อเคลียร์บัญชีฟอกเงินให้

นางน้อย กล่าวต่อว่า ตนจึงพยายามถามว่า ทำไมต้องทำอย่างนี้ คนร้ายอ้างว่า รู้ไหมรัฐบาลไทยได้ผลิตแบงก์พันปลอม มากถึง 2-3 ล้านฉบับ เพื่อมาล่อซื้อยาบ้า จึงต้องมาตรวจสอบ ตนจึงหลงเชื่อว่าเป็นกระบวนที่รัฐจะตรวจสอบ ทุกวันระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.54- 4 ม.ค.55 คนร้ายจะมีคำสั่งให้ตนเอาเงินไปโอนบัญชีของธนาคารกรุงเทพผ่านเครื่องฝากเงิน อัตโนมัติที่คนร้ายให้มา โดยมีชื่อเจ้าของบัญชีชัดเจนทั้งชายหญิง ซึ่งตนก็ใช้เครื่องฝากเงินอัตโนมัติแถวบ้าน พร้อมกำชับตนห้ามนำเงินไปฝากที่แบงก์อื่น นอกจากนี้ตนไม่ทราบว่าโทรศัพท์มือถือของตนในช่วงนั้น ทำไมไม่สามารถโทรศัพท์ออกไปไหนได้ ทำให้ติดต่อญาติเพื่อปรึกษาไม่ได้ เพราะตนอยู่บ้านคนเดียว ทุกวันที่คนร้ายให้ตนไปโอนเงิน จะให้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของคนร้ายไว้ โดยโทรศัพท์กำกับตนทุกขั้นตอน ตนพยายามบอกว่า หอบเงินไปจำนวนมากเป็นอันตราย คนร้ายบอกว่า ไม่ต้องกลัว มีตำรวจนอกเครื่องแบบตามอารักขาอยู่ห่างๆ ทำให้ตนตายใจ ตอนหลังบอกว่าตนเป็นคนที่ช่วยเหลือประเทศชาติในการจับกุมคนร้าย โดยบอกว่า จับคนร้ายได้พร้อมยาบ้าและเงินในบัญชี จะให้โล่ชื่นชม ทำให้ตนรู้สึกว่า ตนเองช่วยประเทศชาติ จึงขอให้เป็นอุทาหรณ์และไม่คิดว่าตนจะโดน สิ่งที่ตนกลัวที่สุดจนถูกหลอก คือ ตกอยู่ในบัญชีผู้ฟอกเงิน จนสูญเงินที่เก็บสะสมมาเกือบ 40 ปี ตั้งแต่ยังสาว

พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า หลังจากผู้เสียหายมาพบตนเมื่อวันจันทร์ เพื่อขอเงินคืน จากการสอบปากคำจนมั่นใจว่า ผู้เสียหายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง จึงรีบประสานธนาคารกรุงเทพ เพื่ออายัดเงินในบัญชีเครือข่ายของคนร้ายที่ให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้า 75 บัญชี จำนวน 269 ครั้ง มูลค่าความเสียหาย 26,750,185 บาท ทันที โดยตู้ฝากเงินอัตโนมัติสามารถรับฝากเงินได้ครั้งละ 1 แสนบาท ทำให้ผู้เสียหายต้องฝากกว่าสองร้อยครั้ง ซึ่งวันแรกพบว่า ผู้เสียหายโอนเงินให้คนร้ายวันเดียว 3 ล้านบาท เรื่องนี้ธนาคารต้องตรวจสอบผู้ที่มาเปิดบัญชี ต้องรายงานการทำธุรกรรมต้องสงสัย ตนจะให้ชี้แจงว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะตรวจสอบกับธนาคารว่า ทำไมคนร้ายถึงรู้ข้อมูลของผู้เสียหาย

รักษาการเลขา ปปง.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตนจะประสาน กสทช.ว่า เหตุใดโทรศัพท์ผู้เสียหายโทรออกไปหาคนอื่นไม่ได้ และทำไมคนร้ายสวมหมายเลขโทรศัพท์ของ ปปง. โทรไปหาผู้เสียหายได้ ส่วนแนวทางการสอบสวน ได้นำผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. เพื่อร่วมกันสืบสวนสอบสวนติดตามจับตัวแก๊งคนร้าย ส่วนการติดตามเงินของผู้เสียหายคืน ตนได้สั่งอายัดบัญชีธนาคารของคนร้ายทั้ง 75 บัญชี ซึ่งเป็นต่างบุคคล กระจายอยู่ทั่วประเทศ เบื้องต้นพบว่า บางบัญชีมีเงินเหลือศูนย์บาท บางบัญชีเหลือ 6 หมื่นบาท หรือ 9 หมื่นบาท โดยมียอดเงินเหลือในบัญชีรวมทั้งหมดประมาณ 9 แสนบาท หลังผู้เสียหายโอนเงิน คนร้ายก็กดเงินออกไปกระจายทั้งประเทศ ถือเป็นแก๊งคนร้ายที่กว้างขวางมาก จะพยายามติดตามยึดอายัดทรัพย์กลับมาคืนให้ผู้เสียหาย นอกจากนี้ตนรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับเจ้าของบัญชีธนาคารทั้ง 75 คน ที่ให้ความร่วมมือกับคนร้ายในการเปิดบัญชี ส่วนข้อหา จะหารือกับตำรวจกองปราบปรามอีกครั้ง.


ไทยรัฐออนไลน์
11 มกราคม 2555, 01:46 น.

ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/region/229508

#1429
ข่าวดี ! ผลวิจัย พบผักพื้นบ้านไทย คุณค่าเพียบ มีสารหลายชนิดป้องกันโรคมะเร็ง ชะลอแก่

   

นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้มีพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านหลายชนิด ที่สามารถใช้เป็นยาและเป็นอาหารได้ เช่นสะเดา ผักแพว กระเพรา ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อาหารไทยยกกำลัง 2 ซึ่งมีลักษณะพิเศษต่างจากอาหารชาติอื่น จึงมีนโยบายให้สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ทำการศึกษาวิจัยหาคุณค่าของผักพื้นบ้านที่คนไทยทั้ง4 ภาค นิยมกินกันอยู่ทั่วไปทั้งดอก ใบ ยอดอ่อน ฝัก ผล หัวและราก   เพื่อเผยแพร่สรรพคุณและส่งเสริมให้มีการนำมาเป็นอาหารบำรุงสุขภาพในปี2555 เพิ่มภูมิต้านทานโรค และจะให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเผยแพร่ส่งเสริมประชาชนใช้บริโภคและให้โรง พยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขนำมาปรุงเป็นอาหารของผู้ป่วย เป็นตัวอย่างประชาชน เมื่อออกจากโรงพยาบาลสามารถนำไปทำกินเองที่บ้านได้   


นายแพทย์สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ประเทศไทยมีผักพื้นบ้านมากกว่า 300 ชนิด ส่วนใหญ่จะขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่นริมห้วย หนองคลองบึง และป่าเขา ในการศึกษาผักพื้นบ้านในปี 2554 นี้   กรมอนามัยได้เก็บตัวอย่างผักพื้นบ้าน รวม 45 ชนิด  จาก 4 ภาค ประกอบด้วยภาคกลาง 12 ชนิด ภาคเหนือ6 ชนิด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5ชนิด และภาคใต้ 22 ชนิด  โดยศึกษาปริมาณสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย 9 ชนิด ได้แก่ 1.พลังงาน  2.โปรตีน 3.ไขมัน 4.คาร์โบไฮเดรต 5.เบต้าแคโรทีน  6.วิตามินซี  7.ใยอาหาร 8.ธาตุเหล็ก และ 9.แคลเซียม


ผลการศึกษาเมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักทุก 100 กรัมเท่ากัน พบว่าผักพื้นบ้านของไทยทุกชนิดให้พลังงาน โปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก  จึงกล่าวได้ว่าผักเหล่านี้กินแล้วไม่ทำให้อ้วน ผักที่มีแคลเซียมสูงที่สุด 10 อันดับ ได้แก่ 1.หมาน้อยมี 423 มิลลิกรัม 2.ผักแพวมี390 มิลลิกรัม 3.ยอดสะเดามี 384 มิลลิกรัม 4.กระเพราขาวมี 221 มิลลิกรัม 5.ใบขี้เหล็กมี 156 มิลลิกรัม 6.ใบเหลียงมี 151 มิลลิกรัม 7. ยอดมะยมมี 147 มิลลิกรัม   8.ผักแส้วมี 142 มิลลิกรัม 9.ดอกผักฮ้วนมี 113 มิลลิกรัม และ 10.ผักแมะมี 112 มิลลิกรัม โดยแคลเซียม มีบทบาทหลักคือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ หัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยในการแข็งตัวของเลือด และควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนบางชนิด


ผักที่มีธาตุเหล็กสูงสุด  5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ใบกระเพราแดงมี 15 มิลลิกรัม 2. ผักเม็กมี 12 มิลลิกรัม 3.ใบขี้เหล็กมี  6 มิลลิกรัม 4.ใบสะเดามี 5 มิลลิกรัม และ 5.ผักแพวมี 3 มิลลิกรัม ส่วนธาตุเหล็ก เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง เพื่อนำอ็อกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆในร่างกาย และมีบทบาทในด้านพัฒนาการและการเรียนรู้ สมรรถภาพในการทำงาน สร้างภูมิต้านทานโรค และเกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ ธาตุเหล็กจะถูกดูดซึมได้ดีต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่ด้วย 


ผักที่มีใยอาหารสูง 10 อันดับ ได้แก่ 1.ยอดมันปู มี16.7 กรัม 2.ยอดหมุย มี 14.2 กรัม 3. ยอดสะเดา มี 12.2 กรัม 4.เนียงรอก มี 11.2 กรัม 5..ดอกขี้เหล็ก 9.8 กรัม 6.ผักแพว 9.7กรัม 7.ยอดมะยม 9.4 กรัม 8.ใบเหลียง 8.8 กรัม 9.หมากหมก 7.7 กรัม และ 10.ผักเม่า มี 7.1 กรัม ซึ่งใยอาหารในผัก ทำให้ร่างกายขับถ่ายอุจจาระได้เร็วขึ้น ท้องไม่ผูก ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทำให้การดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง ส่งผลให้ลดระดับการใช้อินซูลิน นอกจากนี้ใยอาหารบางชนิด ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด


ผักที่มีเบต้าแคโรทีน สูง 10 อันดับ  ได้แก่ 1.ยอดลำปะสีมี 15,157 ไมโครกรัม 2.ผักแมะมี 9,102 ไมโครกรัม 3.ยอดกะทกรกมี 8,498 ไมโครกรัม 4.ใบกระเพราแดงมี7,875 ไมโครกรัม 5.ยี่หร่ามี 7,408 ไมโครกรัม 6.หมาน้อยมี 6,577 ไมโครกรัม 7.ผักเจียงดามี 5,905 ไมโครกรัม 8.ยอดมันปูมี 5,646 ไมโครกรัม 9.ยอดหมุยมี 5,390 ไมโครกรัม และ 10.ผักหวานมี 4,823 ไมโครกรัม  ส่วนผักที่มีวิตามินซีสูง 10 อันดับ ได้แก่ 1. ดอกขี้เหล็กมี 484มิลลิกรัม 2.ดอกผักฮ้วนมี 472 มิลลิกรัม 3.ยอดผักฮ้วนมี 351 มิลลิกรัม4.ฝักมะรุมมี 262 มิลลิกรัม 5.ยอดสะเดามี 194 มิลลิกรัม 6.ผักเจียงดามี 153 มิลลิกรัม7.ดอกสะเดามี 123 มิลลิกรัม 8.ผักแพวมี 115 มิลลิกรัม 9.ผักหวานมี 107 มิลลิกรัม และ 10.ยอดกะทกรกมี 86 มิลลิกรัม โดยทั้งเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี เป็นสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ลดการอักเสบ เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคในร่างกาย ทำให้ร่างกายแก่ชราช้าลงด้วย


นายแพทย์สมยศกล่าวอีกว่า การนำผักพื้นบ้าน ประจำถิ่นมาปรุงประกอบอาหาร นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคโดยไม่ต้องพึ่งยาและสารเคมี ในแต่ละภาคของประเทศไทยมีผักพื้นบ้านสามารถเลือกรับประทานได้ตลอดปี และประชาชนควรเพิ่มการกินผักพื้นบ้านให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแล้ว   ยังเป็นการอนุรักษ์ผักพื้นบ้านให้ลูกหลานรู้จักและบริโภคต่อได้


ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1325569772&grpid=03&catid=&subcatid=
#1430
ขรก.-ลูกจ้างเฮ!ดีเดย์ปรับเงินเดือนมอบของขวัญปีใหม่


วันนี้(29 ธ.ค.) นายรังสรรค์  ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมประกาศปรับรายได้ให้ข้าราชการ ลูกจ้าง วุฒิปริญญาตรีขึ้นไป รับเงินเดือนบวกเงินเพิ่ม ต้องไม่ต่ำกว่า  15,000 ต่อเดือน  โดยกลุ่มที่ต่ำกว่าปริญญาตรี ก็ได้ปรับด้วย โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 55 นี้เป็นต้นไป ถือเป็นการให้ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล


“นโยบายรัฐบาลเรื่องการปรับรายได้ให้แก่บุคลากรภาครัฐ โดยเฉพาะผู้ที่จบปริญญาตรีเมื่อเข้าทำงานในระบบราชการควรมีรายได้ขั้นต่ำอย่างน้อย 15,000 บาทต่อเดือน นั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการนำเสนอร่างระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำ ซึ่งล่าสุดได้ยืนยันร่างระเบียบดังกล่าว ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา คาดว่ากระทรวงการคลังจะประกาศให้มีผลบังคับใช้ตามที่รัฐบาลได้มอบนโยบายไว้อย่างแน่นอน”


ทั้งนี้ บุคลากรภาครัฐที่จะได้ปรับรายได้ครั้งนี้จะครอบคลุม 5 กลุ่มรวมกว่า  649,323 คน คือข้าราชการ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการรัฐสภาสามัญ  ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากเงินงบประมาณ ทหารกองประจำการ และ พนักงานราชการ


สำหรับเงินที่จ่ายนั้น จะเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว (พชค.) กำหนดเงื่อนไขไว้ 2 ลักษณะคือ กลุ่มที่บรรจุในตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติเฉพาะว่าต้องใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ถ้าได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท ให้รับเงิน พชค. เพิ่มจนถึง 15,000 บาท และกลุ่มที่บรรจุในตำแหน่งที่ใช้วุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ถ้าได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ 12,285 บาท ให้รับเงิน พชค. เดือนละ 1,500 บาท แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 12,285 บาท หรือถ้ารวมกันแล้วไม่เกิน 9,000 บาท ก็ให้อีกจนถึง 9,000 บาท และทหารกองประจำการที่รับเงินเดือน ระดับ พ.1 ถ้ารับเงินเดือนรวมกับเบี้ยเลี้ยงประจำตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมแล้วไม่ถึงเดือนละ 9,000 บาทให้ได้รับเงิน พชค. เพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงกลาโหมจะกำหนดต่อไป  แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน เดือนละ 9,000 บาท


“ปัจจุบันข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวและพนักงานราชการ ที่บรรจุในวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป มี 346,365 คน งบประมาณที่ใช้ 1,589 ล้านบาทต่อเดือน ที่ต่ำกว่าปริญญาตรี 164,943 คน ทหารกองประจำการ 138,015 คน 2 กลุ่มนี้จะใช้เงินงบประมาณ 455 ล้านบาทต่อเดือน รวมใช้งบประมาณ 2,044 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งในปีงบประมาณ 55 เวลา 9 เดือนจะใช้เงิน18,396 ล้านบาท ด้านระบบเงินเดือนนั้น กรมฯ ได้เตรียมการรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อกฎหมายประกาศ สามารถจ่ายเงินได้ตามเวลาที่กำหนดทันที สำหรับการเยียวยาข้าราชการที่ทำงานมานานแล้ว และได้รับผลกระทบการปรับค่าครองชีพในครั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. กำลังดำเนินการ และคาดว่าจะมีผลในวันที่ 1 ม.ค.55 เช่นกัน”


ที่มา :  http://www.dailynews.co.th/businesss/5230